ดับร้อนให้บ้านแบบยั่งยืน
ด้วยเทคนิคเลือกวัสดุกันร้อนให้บ้าน
ประเทศไทยเป็นเมืองร้อน
ไม่ว่าจะฤดูไหนก็หนีไม่พ้น โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนอุณหภูมิอาจพุ่งสูงกว่า 40
องศาเลยทีเดียว
ทำให้หลายคนเลือกที่จะดับร้อนด้วยการหลบอยู่ภายในบ้านพร้อมกับเปิดแอร์เย็นฉ่ำ
แต่รู้หรือไม่ว่าการแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะ “บ้าน”
และ “แสงแดด” เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงกลางวันแสงแดดที่ส่องกระทบผนังและหลังคาเป็นเวลานาน
จะมีการสะสมความร้อนและนำความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านผ่านวัสดุต่างๆ ดังนั้น
จึงขอแนะนำเทคนิคง่ายๆ ในการดับร้อนให้บ้านแบบยั่งยืน ด้วยการเลือก วัสดุกันร้อน
ที่ช่วยลดและป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน
เพื่อให้บ้านเย็นสบายและน่าอยู่ยิ่งขึ้นด้วยเทคนิคเลือกวัสดุกันร้อนให้บ้าน
การเลือกวัสดุในการสร้างบ้าน
หรือปรับบ้านให้เย็นสบายไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก โดยเฉพาะปัจจุบันนี้มีนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างหลากหลายรูปแบบที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันความร้อน
ซึ่งเจ้าของบ้านสามารถเรียนรู้และนำมาประยุกต์ใช้กับบ้านของตัวเองได้ จึงขอแนะนำวิธีการเลือก 3
วัสดุยอดฮิตที่ช่วยทำหน้าที่ลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้าน ดังนี้
ฉนวนกันความร้อน
นับเป็นปราการด่านแรกที่นอกจากจะช่วยสกัดกั้นความร้อนจากหลังคาไม่ให้ถ่ายเทมาสู่ภายในบ้านแล้วยังสามารถสะท้อนรังสีความร้อนได้ถึง
95% ฉนวนกันความร้อนสามารถติดตั้งได้ตั้งแต่บริเวณใต้หลังคา
บนฝ้าเพดาน และภายในผนังบ้าน
ซึ่งผนังบ้านเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ความร้อนจะส่งผ่านเข้าสู่ตัวบ้าน โดยเฉพาะด้านทิศตะวันตก
ซึ่งในช่วงบ่ายจะเป็นเวลาที่ร้อนที่สุด
ดังนั้นจึงควรติดตั้งฉนวนกันความร้อนสำหรับผนังเพื่อช่วยสกัดกั้นความร้อนที่จะแผ่เข้ามาด้วย
ในปัจจุบัน
การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณฝ้าเพดาน เป็นวิธีที่เจ้าของบ้านหลายท่านนิยม
เนื่องจากติดตั้งได้ง่าย และติดตั้งได้ทั้งบ้านใหม่และบ้านเก่า
ทั้งยังสามารถติดตั้งได้ตั้งแต่ฝ้าแบบทีบาร์และฝ้าแบบฉาบเรียบ
นอกจากนี้ยังมีความหนาให้เลือกหลากหลาย
เจ้าของบ้านหลายท่านอาจสงสัยเกี่ยวกับการเลือกใช้ฉนวนกันความร้อนให้เหมาะสมกับบ้านของตนเอง
เคล็ดลับในการเลือกใช้
ฉนวนคือ ควรเลือกฉนวนที่มีคุณสมบัติ ค่าการต้านทานความร้อนสูง (ค่า R) ค่าการนำพาความร้อนต่ำ (ค่า K) รวมไปถึงความหนาของฉนวนก็มีผลต่อการป้องกันความร้อนเช่นกัน เพราะฉนวนที่มีความหนามาก ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนได้ดีกว่าฉนวนที่มีความหนาน้อย สำหรับบ้านชั้นเดียวแนะนำให้ใช้ฉนวนกันร้อน ขนาด 6 นิ้ว ที่สามารถกันความร้อนได้ดีถึง 4 เท่า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันความร้อนได้ดีกว่า และบ้าน 2 ชั้นทั่วไป สามารถติดตั้งฉนวนที่มีความหนา 3 นิ้วได้ตามปกติ ซึ่งสามารถกันความร้อนได้ดีถึง 4 เท่าและยังสามารถช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับบ้านที่ไม่ได้ติดฉนวน นอกจากปัจจัยเรื่องความหนา ของฉนวนที่ควรเลือกให้เหมาะสมแล้ว ควรเลือกประเภทที่ผลิตจากใยแก้ว เพราะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังเป็นวัสดุไม่ลามไฟอีกด้วย
ฝ้าชายคา และฝ้าภายในบ้าน
เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้บ้านเย็น เคล็ดลับในการเลือกฝ้า
คือเลือกฝ้าที่มีค่าการนำความร้อนต่ำ และมีความยืดหยุ่น แข็งแรง
ทนน้ำและทนชื้นได้ดี ไม่มีใยหินที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
สำหรับภายนอกบ้านแนะนำให้เลือกใช้ ฝ้าชายคา
ที่มีรูหรือช่องให้อากาศระบายผ่านเข้าออกได้
เพื่อรับลมเย็นและระบายความร้อนที่สะสมใต้โถงหลังคาที่โดนแดดมาตลอดทั้งวัน
โดยปัจจุบันมีฝ้ารุ่นใหม่ ที่มีรูระบายอากาศสำเร็จจากโรงงานและมีตาข่ายไฟเบอร์กลาสคุณภาพสูงที่ช่วยระบายความร้อน
ติดตั้งง่ายและป้องกันแมลงเข้าสู่ตัวบ้าน
เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้เจ้าของบ้านนำไปช่วยลดความร้อนให้กับบ้าน
ฉนวนคือ ควรเลือกฉนวนที่มีคุณสมบัติ ค่าการต้านทานความร้อนสูง (ค่า R) ค่าการนำพาความร้อนต่ำ (ค่า K) รวมไปถึงความหนาของฉนวนก็มีผลต่อการป้องกันความร้อนเช่นกัน เพราะฉนวนที่มีความหนามาก ก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการกันความร้อนได้ดีกว่าฉนวนที่มีความหนาน้อย สำหรับบ้านชั้นเดียวแนะนำให้ใช้ฉนวนกันร้อน ขนาด 6 นิ้ว ที่สามารถกันความร้อนได้ดีถึง 4 เท่า
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการกันความร้อนได้ดีกว่า และบ้าน 2 ชั้นทั่วไป สามารถติดตั้งฉนวนที่มีความหนา 3 นิ้วได้ตามปกติ ซึ่งสามารถกันความร้อนได้ดีถึง 4 เท่าและยังสามารถช่วยให้ประหยัดไฟได้ถึง 47% เมื่อเทียบกับบ้านที่ไม่ได้ติดฉนวน นอกจากปัจจัยเรื่องความหนา ของฉนวนที่ควรเลือกให้เหมาะสมแล้ว ควรเลือกประเภทที่ผลิตจากใยแก้ว เพราะไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ที่สำคัญยังเป็นวัสดุไม่ลามไฟอีกด้วย
สำหรับความร้อนบางส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่ภายใต้โถงหลังคา
ฝ้าภายในบ้าน เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สกัดกั้น ความร้อนเข้าสู่ภายในห้องได้
จึงควรเลือกใช้ฝ้าที่กันความร้อนได้ดีหรือมีค่าการนำพาความร้อนต่ำ
เพื่อช่วยกันความร้อนจากโถงหลังคาเข้าสู่ตัวบ้าน ทั้งยังเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อใช้ร่วมกับฉนวนกันร้อนใต้หลังคาและแผ่นสะท้อนความร้อน
ซึ่งจะทำให้สามารถช่วยลดการใช้พลังงานจากเครื่องปรับอากาศลงได้ถึง 23% – 45%
ส่วนเจ้าของคอนโดและทาวเฮ้าส์
สามารถเลือกใช้ฝ้าทีบาร์ ที่สามารถเปลี่ยนได้ง่าย
และใช้ร่วมกับฉนวนกันความร้อนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดร้อนให้บ้าน
ผนัง หรือตัวบ้าน
เป็นอีกหนึ่งส่วนของบ้านที่ต้องปะทะแสงแดดตลอดทั้งวัน ทำให้เกิดการสะสมความร้อนสูง
จึงเป็นส่วนสำคัญของบ้านที่ควรป้องกันความร้อน ควรเลือกใช้วัสดุที่ไม่สะสมความร้อน
อย่าง อิฐมวลเบา เนื่องจากอิฐมวลเบามีลักษณะเป็นฟองอากาศ
ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นฉนวนกันความร้อนได้เป็นอย่างดี
ทำให้เป็นสามารถกันความร้อนได้ดีกว่าอิฐมอญ 4-8 เท่า และมีน้ำหนักเบากว่าอิฐมอญ 2 เท่า
จึงช่วยประหยัดพลังงาน
ลดค่าไฟฟ้าได้มากกว่า 30% เมื่อเทียบกับบ้านที่ไม่ได้ใช้อิฐมวลเบา
นอกจากนี้ยังมีขนาดหลากหลายให้เลือกใช้งาน โดยงานก่อสร้างทั่วไปมักใช้ขนาด 7.5 ถึง
15 ซม.
เคล็ดลับการเลือกอิฐมวลเบา ควรเลือกวัสดุจากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ มีความแข็งแรง
ไม่เปราะ เนื้อวัสดุมีการกระจายตัวของฟองอากาศอย่างสม่ำเสมอและเป็นระเบียบ
เจ้าของบ้านหลายคนอาจกังวลในเรื่องของความแข็งแรงของอิฐมวลเบา
ที่มีเนื้อวัสดุเป็นฟองอากาศกระจายตัว
ซึ่งเนื้อวัสดุที่เป็นฟองอากาศเหล่านี้ไม่ได้มีลักษณะเป็นรูพรุนที่ทะลุถึงกันหรือรูกลวง
แต่เป็นฟองอากาศขนาดเล็กที่กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอและเป็นระเบียบ
ซึ่งเป็นตัวช่วยป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านอย่างดี
เพราะช่องอากาศจะทำหน้าที่ลดทอนพลังงานความร้อนเอาไว้
ไม่ให้ผ่านจากภายนอกเข้าสู่ภายในบ้านได้
และมีความแข็งแรงสามารถรับแรงกดหรือแรงอัดได้เป็นอย่างดีจากการทดสอบโดยคณะวิศวกรรมศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ทดสอบแล้วว่า 1 ตร.ซม. สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 35
กก. หรือขนาด 20*60*10
ซม. สามารถรับแรงกดได้ถึง 21
ตัน นอกจากนี้ผนังอิฐมวลเบายังสามารถ เจาะ ตอก
ยึดแขวนสิ่งของต่างๆบนผนังได้อย่างมั่นใจ เพียงแค่ทำงานให้ถูกต้อง และเลือกขนาดพุกให้เหมาะสมกับประเภทของสิ่งของที่จะแขวน
นอกจากการเลือก 3 วัสดุที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวบ้านแล้ว
เจ้าของบ้านที่กำลังสร้างบ้าน หรือต้องการปรับบ้านให้เย็นสบายน่าอยู่
สามารถเลือกใช้วัสดุแบบครบเป็นระบบนวัตกรรมบ้านเย็น
ผู้ที่สนใจสามารถรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้
cr:
decor.mthai.com
decor.mthai.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น